ข่าวกีฬา “มวยสากลโอลิมปิก” ควรตัดสินยังไงไม่ให้ค้านสายตา?
ข่าวกีฬา
หากพูดถึงประเด็นดราม่าของเรื่องการตัดสินให้คะแนนการแข่งขันมวยสากลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์งต้องบอกไม่ทางพูดกันจบได้ในวันเดียว เพราะที่ผ่านมาไม่มีโอลิมปิกเกมส์ครั้งไหนที่จะมีปัญหาเรื่องการตัดให้คะแนนเลยก็ว่าได้
วิวัฒนาการกติกามวยสากลโอลิมปิก
ที่ผ่านมีการปรับเปลี่ยนกติกาการให้คะแนนมาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่โอลิมปิกครั้งแรกของมวยสากลสมัครเล่นเมื่อปี 1904 เมื่อ 116 ปีที่แล้ว การแข่งขันถูกกำหนดให้มีการชก 3 ยก ยกละ 3 นาที และมีกรรมการให้คะแนน 2 คน โดยยึดการตัดสินแบบมวยสากลอาชีพเป็นหลัก
จากนั้นในโอลิมปิกครั้งถัดมาเมื่อปี 1908 ที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนกติกาเล็กน้อย โดยกรรมการให้คะแนนยังมี 2 ท่านเหมือนเดิม ทว่าสิ่งที่แตกต่างจากเดิมก็คือ ยก 1 กับยก 2 จะชกกัน 3 นาที โดยกรรมการจะให้คะแนนนักชกที่เหนือกว่า 5 คะแนนต่อยก ส่วนคนที่เป็นรองจะได้ 4 คะแนนต่อยก (หากโดนนับก็จะโดนหักคะแนนอีก)
ส่วนยกที่ 3 จะชก 4 นาที และกรรมการจะให้คะแนนนักชกที่เหนือกว่า 7 คะแนน ส่วนคนที่เป็นรองจะได้ 6 คะแนน (หากโดนนับก็จะโดนหักคะแนนอีก) หากคะแนนรวมทั้ง 3 ยกเท่ากัน กรรมการผู้ชี้ขาดจะใช้ดุลยพินิจเลือกผู้ชนะ หรืออาจจะเพิ่มการชกยกที่ 4 อีก 1 ยก กติกานี้ ได้ใช้มาอย่างต่อเนื่อง แม้ในบางช่วง กีฬาโอลิมปิกจะเว้นวรรคจากการแข่งขันก็ตาม เนื่องจากผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
จนกระทั่งในโอลิมปิก 1952 ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ได้มีการเปลี่ยนกติกากันอีกครั้ง โดยเพิ่มให้มีกรรมการให้คะแนนจาก 2 เป็น 3 คน และได้เปลี่ยนวิธีให้คะแนนมาเป็นคะแนนระบบ 10 แต้มเหมือนมวยสากลอาชีพ จากนั้นในโอลิมปิก 1960 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้มีการเพิ่มจำนวนกรรมการให้คะแนนจาก 3 เป็น 5 คน เพื่อต้องการให้กรรมการให้คะแนน เห็นเหตุการณ์ชัดเจนทั่วเวที
ขอบคุณข่าว : www.sanook.com
สนใจสมัคร ติดต่อ : www.aquaserve.com